‘ผู้กำกับโจ้’ ขึ้นศาล ปฏิเสธเจตนาฆ่า ‘มาวิน’ อ้างทำไปเพื่อประโยชน์ของชาติ

‘ผู้กำกับโจ้’ ขึ้นศาล ปฏิเสธเจตนาฆ่า ‘มาวิน’ อ้างทำไปเพื่อประโยชน์ของชาติ

ผู้กำกับโจ้ ปฏิเสธเจตนาฆ่า มาวิน รับทำร้ายจริง แต่ทำไปเพื่อประโยชน์ของชาติ เพื่อขยายผลทางคดียาเสพติด หลัง ผู้กำกับโจ้ ขึ้นศาล วันนี้ ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ถ.นครไชยศรี ศาลนัดสอบคำให้การจำเลย คดีหมายเลขดำที่อท.180/2564 พนักงานอัยการสำนักงานคดีปราบปรามทุจริต 3 เป็นโจทก์ฟ้อง พ.ต.อ.ธิติสรรค์ อุทธนผล หรือ อดีตผู้กำกับโจ้ อดีตผู้กำกับ สภ.เมืองนครสวรรค์ อายุ 39 ปี  ในฐานะจำเลยที่หนึ่ง พร้อมกับคณะรวมเจ็ดคน

ภายใต้ ข้อหาที่ 1. ความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต 

ตาม ป.อาญา ม. 157 2.เป็นเจ้าพนักงานของรัฐใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ตาม พ.ร.ป.ป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 ม.172 3.ร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยทรมานหรือโดยกระทำทารุณโหดร้าย ป.อาญา ม.289(5) และ 4. ร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ป.อาญา ม. 309

หลังจากที่ผู้ต้องหาทั้งเจ็ดได้ใช้ถุงคลุมศีรษะ นายจิระพงษ์ ธนะพัฒน์ หรือ มาวิน ผู้ต้องหาคดียาเสพติด จนเสียชีวิต ขณะอยู่ในความความควบคุมของเจ้าพนักงาน เมื่อช่วงระหว่างวันที่ 4 – 6 ส.ค. 64 ศาลเบิกตัวจำเลยทั้งหมดจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร เพื่อสอบคำให้การ และร.ต.จักรกฤณ์ กลั่นดี บิดาของนายจิรพงษ์ ขอยื่นเป็นโจทก์ร่วม โดยศาลถามอัยการโจทก์ และทนายจำเลย ไม่คัดค้าน อนุญาตให้เป็นโจทก์ร่วมได้

เมื่อศาลอ่านคำฟ้องและข้อหาให้จำเลยทราบแล้ว มีการสอบคำให้การจำเลย โดย พ.ต.อ.ธิติสรรค์ หรือผกก.โจ้ จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพในข้อหาที่ 1, 2 และ 4 ยกเว้นข้อหาที่ 3 ระบุเหตุผลว่า ยอมรับว่ามีการทำร้ายร่างกาย ต้องการขยายผลทางคดียาเสพติดที่เป็นภัยร้ายของสังคม ไม่ได้ต้องการให้นายจิรพงษ์ถึงแก่ความตาย ที่ทำไปเพื่อประโยชน์แก่ประเทศชาติ

ขณะที่ จำเลยที่ 2 ให้การยอมรับสารภาพทุกข้อหา ยกเว้นข้อหาที่ 3 เช่นเดียวกัน ให้เหตุผลว่า ไม่ได้เจตนาจะให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย เพียงอยู่ร่วมในเหตุการณ์ตามคำสั่งผู้บังคับบัญชา จำเลยที่ 3 ให้การปฏิเสธข้อหาที่ 3 และ 4 และให้เหตุผลว่า ได้เข้ามาที่เกิดเหตุภายหลัง และไม่ได้ร่วมทำร้ายผู้ตาย

จำเลยที่ 4 ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา ยกเว้นข้อหาที่ 4 ที่ให้การรับสารภาพ โดยเหตุผลในการปฏิเสธระบุว่า ทำตามคำสั่งผู้บังคับบัญชา ร่วมทำร้ายจริง แต่ไม่เจตนาให้ถึงแก่ชีวิต ส่วนจำเลยที่ 5-7 ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา จำเลยที่ 5 และ 7 ให้เหตุผลว่าอยู่ในเหตุการณ์ตามคำสั่งผู้บังคับบัญชา แต่ไม่ได้ร่วมทำร้าย ส่วนจำเลยที่ 6 ระบุว่า เข้าไปในที่เกิดเหตุ แล้วเดินออกมา โดยเหตุการณ์ได้เกิดขึ้นไปแล้ว โดยศาลได้นัดตรวจหลักฐานอีกครั้งในวันที่ 19 ม.ค.65 เวลา 09.30 น.

หนุ่มตระเวน ลักทรัพย์ ประชดชีวิต หลัง ถูกแฟนบอกเลิก

เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้าจับกุมชายวัย 30 ปี หลัง หนุ่มตระเวน ลักทรัพย์ หลัง ถูกแฟนบอกเลิก แม้คบกันนานถึง 7 ปี เจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวน สภ.เมืองขอนแก่น ได้เข้าจับกุม นาย ประสิทธิ์ สินทร หรือปั้ง อายุ 30 ปี ที่อยู่ 193/12 หมู่ 16 ต.ในเมือง อ.เมือง จ.ขอนแก่น หลังจากที่มีผู้เสียหายได้ร้องเรียนว่าตนได้ถูกขโมยทรัพย์สิน เมื่อช่วงคืนวันที่ 10 พ.ย. ที่ผ่านมา

พ.ต.อ.ปรีชา เก่งสารีกิจ ผกก.สภ.เมืองขอนแก่น กล่าวว่า หลังจากที่มีผู้เสียหาย ได้มีการร้องเรียนผ่านเพจ “ขอนแก่น ร้องเรียนอะไรไว้ที่นี่” จากนั้นตำรวจจึงได้แกะรอยจากภาพกล้องวงจรปิด จนกระทั่งทราบตัวผู้ต้องการก่อนที่จะออกหมายจับ โดยพฤติการณ์ของผู้ต้องหา จะเดินไปตามรถจักรยานยนต์ที่จอดริมถนน จากนั้นจะส่องหาเศษเงินที่เก็บไว้ในช่องเก็บของเท่านั้น โดยได้เงินครั้งละไม่เกิน 20 บาท ส่วนสาเหตุที่มาก่อเหตุนั้นเกิดจากปัญหาครอบครัว ที่ได้มีการแยกทางกับภรรยา จากนั้นได้กลับมาอยู่กับแม่และไม่มีเงินใช้ จึงได้ลงมือก่อเหตุตระเวนลักทรัพย์ หลังจากก่อเหตุ ได้ไปตัดผมสั้นเพื่อไม่ให้ตำรวจติดตามตัวได้

ด้าน นายประสิทธิ์ สินทร ผู้ต้องหา เล่าว่า ตนเองหลังจากที่ได้แยกทางกับแฟนสาว ที่เคยคบกันตั้งแต่ ม.4 ถึง จบปริญญา หลังจากนั้นตนเองได้ไปเป็นทหารเกณฑ์ จากนั้นแฟนสาวที่คบมานาน 7 ปี ได้แยกทางกันทำให้ตนเองรู้สึกผิดหวังกับชีวิต และไม่มีอาชีพทำ

จึงได้ตระเวนลักทรัพย์โดยจะเลือกขโมยเงินตามช่องเก็บของรถจักรยานยนต์ หรือรถยนต์ที่จอดไว้แล้วไม่ได้ล็อคประตู โดยเงินที่ได้จะนำไปซื้อขนมแจกคนรู้จัก จนกระทั่งถูกจับกุมตัวได้ ส่วนสาเหตุที่เลือกขโมยเงินหรือสิ่งของที่มีมูลค่ามามาก เพราะเงินสามารถนำไปใช้ได้เลย หรือของมีมูลค่าไม่มาก ก็จะนำไปขายต่อให้คนรู้จัก เนื่องจากไม่ต้องไปจำนำแล้วต้องนำบัตรประจำตัวประชาชนไปแสดง เพราะจะเป็นหลักฐานในการติดตามจับกุมตัวได้

“นายกรัฐมนตรีย้ำถึงการเดินทางไปตรวจติดตามสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ โดยต้องการไปให้กำลังใจประชาชน และเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ ขอให้เจ้าหน้าที่เข้าไปดูแลประชาชนเป็นสำคัญ นายกรัฐมนตรีและรัฐบาลจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด” นายอนุชาฯ กล่าว

ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้  นาง ศัลยา ได้เขียนข้อความต่อว่า นาง อมรัตน์ อย่างรุนแรง โดยระบุว่า “อมรัตน์ โชคปมิตต์กุล คุณทั้งโง่ ทั้งระ-ำ จริงๆ โง่ เพราะคิดว่าคนจะเชื่อ ศ.นพ.ยง ภู่วรรณพูดแค่นี้โดยไม่มีบริบทใดๆ ระ-ำเพราะไอ้ที่ตัดตอนมาเท่านี้นี่แหละ” โดยโพสต์ดังกล่าวนั้น นาง อมรันต์ วิจารณ์คำพูดของหมอยงที่ระบุว่า “ไวรัสหรือแบคทีเรียต่างๆไม่รู้หรอกว่าวัคซีนที่ฉีดไปเนี่ยยี่ห้ออะไร” จนนำไปสู่การฟ้องร้องขึ้น

Credit : แนะนำสถานที่ท่องเที่ยว | แต่งบ้านและสวน | พระเครื่อง | รีวิวกล้องถ่ายรูป