คืบหน้า กู้ภัยตีกัน ตำรวจเร่งรวบรวมหลักฐาน ออกหมายจับผู้ก่อเหตุ อาสาสมัคร มูลนิธิร่วมกตัญญู ทะเลาะวิวาทและยิงกัน เชื่อได้ตัวในเร็ววันนี้ จากกรณีอาสาสมัคร 2 มูลนิธิชื่อดัง ก่อเหตุทะเลาะวิวาทชกต่อยและยิงปืนใส่กันในพื้นที่ สน.ทุ่งสองห้อง ต่อเนื่องพื้นที่ สน.โคกคราม เมื่อกลางดึกของวันที่ 14 มกราคมที่ผ่านมา
ล่าสุด วันนี้ (17 ม.ค.65) พลตำรวจตรีจิรสันต์ แก้วแสงเอก รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล
เปิดเผยถึงกรณีอาสาสมัคร 2 มูลนิธิชื่อดัง ก่อเหตุทะเลาะวิวาทและยิงปืนใส่กันในพื้นที่สถานีตำรวจนครบาลทุ่งสองห้อง ต่อเนื่องพื้นที่ สถานีตำรวจนครบาลโคกคราม เมื่อกลางดึกของวันที่ 14 มกราคมที่ผ่านมาว่า
ในส่วนของพื้นที่สถานีตำรวจนครบาลทุ่งสองห้อง มี 2 คดี คือ คดียิงปืนขึ้นฟ้า ยังไม่ทราบตัวผู้กระทำความผิด ส่วนคดีทำร้ายร่างกาย ทราบตัวผู้กระทำความผิดแล้ว แต่ให้การภาคเสธ โดยอ้างว่า เข้าไปล็อกคอ เพื่อดึงมือห้ามออกมา ไม่ใช่การทำร้ายร่างกาย ส่วนเหตุในพื้นที่สถานีตำรวจนครบาลโคกคราม ผู้บาดเจ็บที่ถูกยิง ยืนยันตัวผู้ก่อเหตุ 2 คน ซึ่งตำรวจอยู่ระหว่างขอศาลอนุมัติออกหมายจับผู้ก่อเหตุดังกล่าวโดยเร็วต่อไป
ทั้งนี้ หลังเกิดเหตุ ได้มีการเรียกตัวแทนของมูลนิธิทั้ง 2 ฝ่าย ที่ก่อเหตุ ประกอบด้วย นายเอกพัน หรือไทด์ บรรลือฤทธิ์ หัวหน้าอาสาสมัครมูลนิธิร่วมกตัญญู และ นายบัญชา หรือหรั่ง ศรีนิลพันธ์ ผู้จัดการมูลนิธิเพชรเกษม สาขากรุงเทพ เพื่อสร้างมาตรการป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาดังกล่าวขึ้นอีกในพื้นที่ บก.น.2
คลินิกนิรนาม เตรียมขาย ชุดตรวจ hiv ด้วยตัวเอง 1 ก.พ. 65 ทั้งแบบเจาะปลายนิ้ว 400 บาท และตรวจจากน้ำในช่องปาก 250 บาท วันนี้ 17 ม.ค. 2565 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คลีนิคนิรนาม สภากาชาดไทย ประชาสัมพันธ์ เตรียมจำหน่าย ชุดตรวจ HIV ด้วยตัวเอง ทั้งตรวจแบบเจาะปลายนิ้วในราคา 400 บาท และการตรวจจากน้ำในช่องปาก ราคา 250 บาท โดยสามารถแอดไลน์ @188uzdog เพื่อรับคำปรึกษาโดยไม่ต้องรอคิว
ปัจจุบันคลีนิคนิรนาม สภากาชาดไทย ได้มีการปรับบริการและเปิดบริการใหม่ผ่านช่องทางออนไลน์เพื่อให้เหมาะสมกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 เช่น การให้คำปรึกษาแนะนำก่อนเข้ารับการตรวจหาเชื้อเอชไอวี การรับยาป้องกันก่อนสัมผัสเชื้อ PrEP และการรับยาป้องกันหลังสัมผัสเชื้อ PEP ผ่านช่องทางออนไลน์
ศูนย์จีโนม เผย โควิด ใกล้ ‘จบ’ แล้ว หลังอัตราผู้เสียชีวิตลด
ศูนย์จีโนม เผยการแพร่ระบาดของโรค โควิด ใกล้ จบ แล้ว และจะกลายเป็นโรคประจำถิ่น หลังจากที่อัตราผู้เสียชีวิตและป่วยลดลง ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี เผยแพร่ข้อมูลผ่านทางเฟซบุ๊ก เปิดเผยถึงข่าวดีถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ว่า ขณะนี้อาจจะใกล้ถึง “ตอนจบ” แล้ว และอาจกลายเป็นโรคประจำถิ่น
โดยข้อความเฟซบุ๊กระบุว่า “อันหมายถึงใน กทม. หากไม่นับในเรือนจำ โอมิครอนน่าจะเข้ามาแทนที่เดลตา เกือบหมดแล้ว ‘Twindemic’ หรือการติดเชื้อสองสายพันธุ์ระหว่างโอมิครอนและเดลตาไปพร้อมกันในระยะเวลาสั้นๆ ได้จบลงแล้ว ไม่นานโอมิครอนคงจะกระจายไปทั่วประเทศ ไม่ช้าคงเป็นตามที่ ดร.แอนโทนี เฟาชี ผู้อำนวยการสถาบันโรคติดต่อและภูมิแพ้แห่งชาติของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญคนสำคัญในคณะทำงานเพื่อต่อสู้กับการแพร่ระบาดใหญ่ของไวรัสโควิดของรัฐบาลสหรัฐฯ ได้เตือนว่า “ในที่สุดแทบทุกคนจะติดเชื้อไวรัสโอมิครอน” จากนั้นทั้งภูมิคุ้มกันจากวัคซีนและจากการติดเชื้อตามธรรมชาติจะพุ่งขึ้นสูง ลดความรุนแรงของโรคโควิด และลดอัตราการเสียชีวิตลงอย่างรวดเร็ว เห็นปรากฏการณ์นี้ได้อย่างชัดเจนจากข้อมูลผู้ติดเชื้อรายใหม่ และผู้เสียชีวิตทั่วโลกจากโอมิครอน”
ผู้ติดเชื้อรายใหม่ในแอฟริกาใต้ลดลงจนเข้าสู่สภาวะปกติ ในขณะที่มีผู้เสียชีวิตไม่มาก มีประชากรติดเชื้อไวรัสจากธรรมชาติเป็นจำนวนมาก
ผู้ติดเชื้อรายใหม่ในอังกฤษเริ่มลดลงอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่มีผู้เสียชีวิตไม่มาก อังกฤษใช้วัคซีนไวรัสเป็นพาหะ และเข็มกระตุ้นเป็นวัคซีนสารพันธุกรรม (mRNA) ผู้ติดเชื้อรายใหม่ในอเมริกา ผู้เชี่ยวชาญคาดว่าใกล้ถึงจุดสูงสุดใน 1-2 สัปดาห์ข้างหน้า ในขณะที่ผู้เสียชีวิตมีไม่มาก อเมริกาใช้วัคซีน mRNA เป็นวัคซีนนำสองเข็มแรก และใช้เป็นเข็มกระตุ้นด้วย
ประเทศเพื่อนบ้านที่มีชายแดนติดกับประเทศไทย รวมทั้งอิหร่าน ที่มีการติดเชื้อจากธรรมชาติในอัตราสูงนำมาก่อน ก่อนจะมารับวัคซีนเชื้อตาย และสลับมารับวัคซีนที่ใช้ไวรัสเป็นพาหะ และ/หรือวัคซีน mRNA เป็นเข็มกระตุ้น พบว่าได้ผลดีมาก มีผู้ติดเชื้อรายใหม่จากโอมิครอนและผู้เสียชีวิตต่ำ
ส่วนประเทศไทย มีการติดเชื้อจากธรรมชาติไม่มาก และได้รับวัคซีนเชื้อตาย สลับมารับวัคซีนที่ใช้ไวรัสเป็นพาหะ และ/หรือวัคซีน mRNA เป็นเข็มกระตุ้น ได้ผลดีเช่นกัน แม้จะเห็นผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นจากโอมิครอน แต่ผู้เสียชีวิตลดต่ำลงอย่างต่อเนื่อง
และหากเป็นเช่นนี้ต่อไป ไวรัสโคโรนา 2019 คงจะจบเกม (Endgame) กลายเป็นโรคประจำถิ่น (Endemic) เหมือนไข้หวัดใหญ่ซึ่งมาตามฤดูกาล โดยมีผู้เสียชีวิตประมาณร้อยละ 0.1”